แนวทางการเลือกสินเชื่อส่วนบุคคลที่ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยจะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้
เปรียบเทียบผู้ให้บริการสินเชื่อจากจุดประสงค์ของการขอสินเชื่อของตน : คุณต้องการจะนำเงินก้อนที่ได้ไปทำสิ่งใด เช่น ค่ารักษา ค่าซ่อมบ้าน ต่อเติมบ้าน ไปจนถึงค่าเรียนลูกและการลงทุน การระบุจุดประสงค์ในการใช้เงินให้ชัดเจน มีระเบียบแบบแผนจะทำให้สามารถใช้เงินที่ได้มาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทางที่ดีก่อนยื่นขอสินเชื่อควรสำรวจตนเองก่อนว่ามีแผนการใช้เงินต่อเดือนมากแค่ไหน จะเพิ่มภาระมากน้อยอย่างไรหากต้องจ่ายค่างวดในแต่ละเดือน
รวมไปถึงแนวทางการอนุมัติของผู้ให้บริการต่างๆ ที่จะแตกต่างกันออกไป เช่น กู้ยืมเพื่อการศึกษา ไลฟ์สไตล์ เป็นต้น ซึ่งบางครั้งอาจมีโปรโมชั่นทำให้ผู้ยื่นขอสินเชื่อเสียเงินน้อยกว่ามาก หากขอได้ตรงตามรูปแบบที่กำหนดไว้
สังเกตระยะเวลาการกู้ อัตราดอกเบี้ย : โดยส่วนมากแล้วเงินก้อนที่ได้มาจากการยื่นขอสินเชื่อมักได้ประมาณ 5 เท่าของเงินเดือน เช่น ถ้ามีเงินเดือน 15,000 บาท เงินที่ได้รับอนุมัติก็จะอยู่ราวๆ 75,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยูกับทางผู้ให้บริการสินเชื่อด้วย
ซึ่งระยะเวลาการให้สินเชื่อก็จะมีตั้งแต่ 3 เดือน ไปจนถึง 60 เดือน แล้วแต่สัญญากำหนดไว้ โดยจะคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก Effective Rate ซึ่งมีอัตราอยู่ที่ 9%-28% ต่อปี ยิ่งเงินต้นเหลือน้อยมากเท่าไหร่ก็จ่ายดอกเบี้ยน้อยลงเท่านั้น ผู้ให้บริการสินเชื่อบางเจ้ายังมีการงดเว้นค่าธรรมเนียมกรณีจ่ายโปะปิดบัญชีก่อนเวลาอีกด้วย
เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ : ในการขอสินเชื่อมักมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆในการยื่นขออยู่ โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
ค่าธรรมเนียมการให้สินเชื่อ ค่าปรับ
ค่าใช้จ่ายให้หน่วยงานราชการ เช่น ค่าอากรสแตมป์
ค่าใช้จ่ายให้บุคคลภายนอก เช่น ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบบัตรเครดิต ค่าใช้จ่ายในกรณีเงินไม่พอจ่าย
ค่าใช้จ่ายที่เป็นทุนในการดำเนินงาน เช่น ค่าใช้จ่ายในกรณีทวงหนี้ ค่าใช้จ่ายในกรณีตรวจสอบเอกสาร
ทั้งนี้ทั้งนั้นอัตราค่าธรรมเนียมของผู้ให้บริการสินเชื่อแต่ละเจ้าก็จะมีความแตกต่างกันออกไป โดยพิจารณาจากทั้งความเป็นไปได้ของผู้ยื่นขอสินเชื่อและปัจจัยภายนอกอื่นๆ ด้วย
ตรวจสอบคุณสมบัติการกู้เงินของตนเอง : บางครั้งบางครา การยื่นขอสินเชื่อไม่ผ่านอาจเป็นเพราะตัวผู้ยื่นไม่ตรงตามระเบียบบางอย่างที่ทางผู้ให้บริการสินเชื่อกำหนด เช่น อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ และอายุไม่เกิน 60 ปี
นอกเหนือจากด้านอายุก็มีอาชีพที่เป็นอีกประเด็นสำคัญ หากเป็นอาชีพที่ไม่มีรายได้แน่นอนอาจทำให้ยื่นขอสินเชื่อวงเงินสูงได้ยาก
ดูความสามารถในการชำระหนี้ของตนเอง : โดยส่วนมากแล้วการยื่นขอสินเชื่อจะต้องพิจารณาว่าผู้ยื่นมีความสามารถในการชำระหนี้หรือเปล่า แม้ว่าคุณสมบัติครบ แต่ถ้าผู้ยื่นขอสินเชื่อมีภาระหนี้สินโดยรวมสูงเกินไป เช่น สูงเกิน 60% ของรายรับ ก็อาจไม่ได้รับการพิจารณา
โดยทางผู้ให้บริการสินเชื่อจะเข้าไปตรวจสอบประวัติเครดิตผ่านทางเครดิตบูโร ว่ามีการผิดนัดชำระหรือไม่ หากมีประวัติว่าชำระล่าช้าหรือผิดชำระ และมีท่าทีแสดงให้เห็นว่ามีความเสี่ยงที่จะผิดชำระในครั้งต่อๆ ไป ทางผู้ให้บริการสินเชื่อก็อาจพิจารณาให้ไม่ผ่านเช่นกัน